นับจากวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป แรงงานไทยจะมี “หลักประกันใหม่” ที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงในชีวิตการทำงานมากยิ่งขึ้น กับ “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ตามกฎหมายใหม่ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างโดยไม่ได้รับสิทธิชอบธรรม
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 126 กำหนดให้มีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย หรือในกรณีอื่นตามที่กำหนดโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
กองทุนนี้มาจากไหน?
แหล่งเงินทุนหลักของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจะมาจากการ "เงินสมทบ" ที่นายจ้างจะต้องนำส่งเข้ากองทุนตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถือเป็นการร่วมกันสร้างหลักประกันและความมั่นคงให้กับลูกจ้างทุกคนในระบบ
หน้าที่ของนายจ้าง
- นายจ้างที่มีลูกจ้าง ตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องให้ลูกจ้างเข้าเป็นสมาชิกกองทุนฯ
- ยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้างและรายละเอียดอื่นๆ (สกล.3/สกล.3/1)
- ยื่นแบบเปลี่ยนแปลง รายการแสดงรายชื่อลูกจ้างและรายละเอียดอื่นๆ (สกล.3/2)
(กรณีหากนายจ้างยื่นแบบรายการตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคมแล้ว ให้ถือว่านายจ้างได้ยื่นแบบฯข้างต้นแล้ว)
- หักค่าจ้างลูกจ้าง 0.25% เพื่อนำส่งเป็นเงินสะสม
- จ่ายเงินสมทบ 0.25% ของค่าจ้างของลูกจ้าง
หน้าที่ของลูกจ้าง
- กรณีทำงานกับนายจ้างที่มีลูกจ้าง ตั้งแต่ 10คน ขึ้นไป ต้องเข้าเป็นสมาชิกกองทุน ฯ
- จ่ายเงินสมทบ 0.25% ของค่าจ้างนายจ้างเป็นผู้หักค่าจ้างและนำส่งเข้ากองทุนฯ
- หน้าที่อื่น
- แจ้งข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงให้นายจ้างทราบ
- กำหนดบุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินฯ (สกล.5)
ข้อยกเว้นที่ไม่อยู่ในบังคับให้ลูกจ้างต้องเข้าเป็นสมาชิกกองทุน ฯ
- กิจการที่มีลูกจ้างไม่ถึง 10 คน
- กิจการที่นายจ้างจัดให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- กิจการที่นายจ้างจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์อื่น ๆ กรณีลูกจ้างลาออกหรือตาย
- กิจการที่ไม่เข้าข่ายบังคับ อาทิ งานเกษตร งานประมง งานรับใช้ในบ้านที่มิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย กิจการที่ไม่แสวงหากำไร กิจการโรงเรียนเอกชน เฉพาะผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา
การจ่ายเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง (เงินสะสม เงินสมทบ และดอกผล)
- กรณีลูกจ้างออกจากงาน
- นายจ้างเลิกจ้าง (ไม่ว่าจะกระทำผิดวินัยหรือไม่)
- เกษียณอายุ
- ลาออก
- ตกลงเลิกสัญญาจ้าง
- สิ้นสุดสัญญาจ้าง
- กรณีลูกจ้างเสียชีวิต
- ตกแก่บุคคลซึ่งลูกจ้างระบุ ในหนังสือกำหนดบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินฯ (สกล.5)
- ไม่ได้กำหนดไว้ หรือบุคคลที่กำหนดตายก่อน จะตกแก้บุตร ภรรยา คู่สมรส บิดา มารดา ที่มีชีวิตอยู่ คนละส่วนเท่าๆกัน
- หากไม่มีบุตรดังกล่าว จะตกแก่กองทุนฯ
- ประโยชน์ของกองทุน
- ยกระดับมาตรฐานคุ้มครองลูกจ้าง
- ส่งเสริมการออมเงินให้กับลูกจ้าง
- เสริมสนร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน
- บรรเทาความเดือนร้อนให้กับลูกจ้างและเป็นการเพิ่มหลักประกันทางสังคม
- ประโยชน์ต่อนายจ้าง
- แสดงถึงภาพลักษณ์ที่ดีของนายจ้าง
- สร้างความสัมพันธ์อันดีภายในองค์กร
- สร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานกับนายจ้างในระยะยาว
กองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง ถือเป็นมาตรการสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ลูกจ้างในไทย ทั้งนายจ้างและลูกจ้างจึงควรเตรียมความพร้อมเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย